วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Iphone

ประวัติความเป็นมาของ Iphone

     แอปเปิล (Apple Inc.) หรือในชื่อเดิม แอปเปิลคอมพิวเตอร์ (Apple Computer Inc.) เป็นบริษัทในซิลิคอนวัลเลย์ ทำธุรกิจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ แอปเปิลปฏิวัติคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะในยุค 70 ด้วยเครื่องแอปเปิลทู (Apple II) และแมคอินทอช (Macintosh) ในยุค 80 ปัจจุบันแอปเปิลมีชื่อเสียงด้านฮาร์ดแวร์ เช่น ไอแมค ไอพอด ไอโฟน และ ร้านขายเพลงออนไลน์ไอทูนส์ ประวัติโดยย่อ บริษัท Apple Computer Inc. ได้เกิดขึ้นจากการร่วมกันก่อตั้งของ สตีฟ จ็อบส์ และ สตีฟ วอซเนียก ทำการปฏิวัติธุรกิจคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะในยุค 70 โดยการนำเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่ประดิษฐ์จากโรงรถออกมาขาย ในชื่อ Apple I ที่ราคาจำหน่าย 666.66 เหรียญ ในจำนวนและระยะเวลาจำกัด ภายในปีถัดมาก็ได้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำยอดจำหน่ายสูงสุดให้กับบริษัท ณ ขณะนั้นคือ Apple II ซึ่งเป็นการเปิดศักราชใหม่แห่งวงการไมโครคอมพิวเตอร์ และเป็นการสร้างมาตรฐานให้กับไมโครคอมพิวเตอร์ที่เกิดมาตามหลังทั้งหมด (อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลาดังกล่าว ทางบริษัทจะมุ่งเน้นการขายระบบปฏิบัติการมากกว่าที่จะขายผลิตภัณฑ์ไมโคร คอมพิวเตอร์ เนื่องจากประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์จากบริษัท Intel และ IBM ทำงานได้ดีกว่า) ต่อมาในยุค 80 Apple Inc. ได้พัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ส่งผลถึงยอดจำหน่ายที่สูงขึ้นตามลำดับ ภายใต้ชื่อผลิตภัณฑ์ Macintosh ซึ่งยังส่งผลให้ Apple ยังคงมีชื่อเสียงในด้านผลิตภัณฑ์มาจนถึงปัจจุบัน ด้วยมาตรฐานและเอกลักษณ์ทางการตลาดที่สอดคล้องกับปณิธานองค์กรที่ว่า “คิดอย่างแตกต่าง (Think Different)” ผลิตภัณฑ์ที่มักได้รับการกล่าวถึงและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน อาจแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ ทั้งที่เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดพกพา (MacBook, MacBook Pro) และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (iMac, PowerMac) ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ได้แก่ Mac OSX (แมคโอเอสเท็น) อุปกรณ์ฟังเพลงขนาดพกพา ได้แก่ สายผลิตภัณฑ์ iPod และ iPhone อุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น iSight, AirPort ฯลฯ โปรแกรมและบริการเสริมต่างๆ อาทิ iTunes เป็นต้น เกร็ดอื่นๆ ในภาพยนตร์เรื่อง อัจฉริยะปัญญานิ่ม (Forrest Gump) ฟอร์เรสต์ กัมป์ ถูกชักชวนโดยผู้หมวด
แดน ให้เป็นหุ้นส่วนของบริษัทแอปเปิล แต่ตัวฟอร์เรสต์เองนึกว่าหมายถึงแอปเปิลที่เป็นผลไม้


เปิดตำนาน iPhone Killer รุ่นแรก

iPhone_Killer

iPhone Killer ไม่ได้หมายถึงเครื่อง iPhone รุ่นพิเศษอะไรนะ …แต่มันคือ มือถือที่ผู้ใช้ให้ฉายาว่าจะปราบ iPhone
หลายคนคงเข้าใจว่า Android คือ iPhone Killer รุ่นแรกและปัจจุบัน จริงๆแล้วมันคือ Nokia 5800 xm ต่างหาก (ตามความเข้าใจผมนะ) ซึ่งในยุคที่ Nokia 5800 มือถือจอสัมผัสเต็มตัวรุ่นแรกๆของ Nokia ได้เปิดตัว ใครๆก็กล่าวขานว่ามันคือ iPhone Killer
และใครที่ใช้ iPhone กับ Nokia ในช่วงนั้น น่าจะได้เห็น 20 เหตุผลที่ Nokia 5800 XpressMusic ดีกว่า iPhone 3G..และแน่มันคือความเห็นที่มาจากผู้ใช้ Nokia
1. iPhone 3G มีความละเอียดกล้อง 2 ล้านพิกเซล แต่ Nokia 5800 XpressMusic iPhone มีความละเอียดกล้อง 3.2 ล้านพิกเซล เลนส์ CarlZeiss พร้อมแฟลชคู่ และสามารถซูมได้ถึง 3 เท่า
2. Nokia 5800 XpressMusic เบากว่า iPhone 3G ถึง 25 กรัม
3. Nokia 5800 XpressMusic มีราคาถูกกว่า และก็ใช้ได้กับทุก เครือข่าย โดยไม่ต้อง Hack
4. Nokia 5800 XpressMusic ใช้งานถ่าย VDO ได้แต่ iPhone 3G ถ่ายไม่ได้ ต้องลงโปรแกรมเสริมก่อน
5. iPhone 3G ไม่สามารถใช้งาน วีดีโอคอล ได้แต่ Nokia 5800 XpressMusic รองรับ
6. iPhone 3G มีตัวเครื่องเพียง 2 สี สีดำ และ สีขาว ส่วน Nokia 5800 XpressMusic มีถึง 4 สี คือ สีแดง สีน้ำเงิน สีขาว และสีดำ
7. Nokia 5800 XpressMusic iPhone สามารถป้อนข้อมูลได้หลากหลายวิธี เช่น ปากกา นิ้วมือ และ ปิ๊ก แต่ iPhone 3G ใช้มือได้อย่างเดียว
8. iPhone 3G ไม่มีฟังก์ชั่น ตัด และวาง และ บันทึกไฟล์แนบ ลงในเครื่อง
9. Nokia 5800 XpressMusic สามารถรองรับ External Memory เพิ่มได้ สูงถึง 16 GB แต่ iPhone 3G จะต้องเลือกระหว่าง 8GB กับ 16GB
10. iPhone 3G ไม่สามารถโทรออกด้วยเสียงได้ แต่ Nokia 5800 XpressMusic ทำได้
11. iPhone 3G ไม่สามารถบันทึกเสียงได้ แต่ Nokia 5800 XpressMusic ทำได้
12. iPhone 3G ไม่รองรับไฟล์แฟลช แต่ Nokia 5800 XpressMusic รองรับ
13. iPhone 3G ไม่สามารถใช้ Bluetooth ในการรับ – ส่งไฟล์ได้
14. iPhone 3G ไม่สามารถฟังวิทยุ FM ได้
15. Nokia 5800 XpressMusic รองรับไฟล์เอกสารต่างๆ ได้ เช่น MS Officeแต่ iPhone 3G ไม่รองรับ
16. การโอนถ่ายไฟล์เพลงและไฟล์ภาพของ Nokia 5800 XpressMusic จะใช้งานง่ายกว่า iPhone 3G และตัว iPhone 3G ยังยึดติดกับคอมฯตัวเดิม
17. คุณภาพเสียงและลำโพงของตัว Nokia 5800 XpressMusic ดีกว่า iPhone 3G
18. Nokia 5800 XpressMusic สามารถถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่เองได้แต่ iPhone 3G ไม่สามารถถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่เองได้ต้องให้เจ้าหน้าที่เปลี่ยนให้
19. iPhone 3Gไม่สามารถใช้ GPS Built-in ในการนำทางได้
20. iPhone 3G ติดโปรแกรม Kill Switch ซึ่งถูกบรรจุมาในตัวเครื่อง (iPhone 3G จะแทรกแซงความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค)
nokia-5800
หน้าตาของ Nokia 5800 XM มันคือมือถือระบบปฏิบัติการ Symbian สัมผัสได้สองแบบ คือ ใช้นิ้วและปากกาสไตลัส (ถ้าใช้นิ้วต้องกดแรกหน่อย หรือใช้เล็บจะสะดวกกว่า)  ระบบซิมเบี้ยนของ nokia ก็มี App ให้ใช้พอตัวซึ่งมีจุดขายร่วมกันกับ OVI
เหตุผลที่ Nokia 5800 ถูกยกให้เป็น iPhone Killer ในยุคนั้นคือ การก้าวเข้ามาทำจอสัมผัสอย่างจริงจังของ Nokia ค่ายมือถือเบอร์ 1 ของโลก (ณ ขณะนั้น) และตอบสนองได้ดีในด้านการใช้งานธรรมดาๆ เพราะหลายคนคุ้นเคยกันอยู่แล้วกับ Sybian Nokia และจากความสำเร็จดังกล่าว Nokia 5800 กลายเป็นเครื่องแม่ ที่ Nokia ทำออกมาเป็นรุ่นลูกมากมาย ที่หน้าตาเหมือนกันเด๊ะๆ แต่ความสามารถด้อยกว่า บางรุ่นก็ดีกว่า
บางเว็บไซท์ถึงขั้นอวย Nokia 5800 อย่างเต็มที่ ขึ้นหัวเว็บใหญ่ๆว่า iPhone Killer มีภาพ iPhone เลื่อนสาด และ Nokia 5800 เด่นตระหง่าน …ผมจำไม่ได้แล้วนะว่าเว็บไหน สองปีมาแล้ว
ถ้าพูดถึงการใช้งานกันจริงๆผมว่าก็โอนะ Nokia 5800 XpressMusic จะเป็นรองก็แต่การสัมผัสหน้าจอกับ ระบบปฏิบัติการ มีเสถียรภาพน้อย จุดเด่นคือ ใช้ง่าย เสียงดี จับ GPS ไว
อย่างไร……ถ้าพูดถึงเวลา “ปัจจุบัน” นี้ Nokia 5800 และ Nokia นั้นหลุดเทรนด์ไปแล้ว ขณะที่ iPhone ยังอยู่ในเทรนด์ปัจจุบัน เพียงแต่ตอนนี้คือ iPhone 4 (คืนนี้งาน WWDC ไม่รู้จะ iPhone 4s หรือ iPhone 5)
สรุปคือ Nokia 5800 นั้น Kill ไม่สำเร็จ ด้วยประสบการณ์ใช้งานที่แตกต่าง Nokia Symbian นั้นขาดความยืดหยุ่น ไม่มีรุ่นไหนที่เหมาะกับการแชทจริงๆ แม้จะมีรุ่นแชทออกมา เพราะเรื่องการเปลี่ยนภาษา ซึ่งต้องกดหลายครั้ง ปัญหาหน่วยความจำเต็ม การสัมผัสที่ล้าหลัง ฯลฯ ทำให้ถูกลืมไปตามยุคสมัย
ส่วน iPhone Killer ในยุคนี้คือ Android ที่กลายเป็นกระแสดราม่ากันระหว่าง Android กับ iOS ทั้งสองระบบนี้มีแนวคิดที่ต่างกันสุดขั้ว ระหว่างเปิดกับปิด หยืดหยุ่นกับใช้ง่าย ทั้งสองระบบถูกนำมาเปรียบเทียบกันตลอด เพื่อให้เห็นความต่างที่ชัดเจน ให้ผู้จะซื้อตัดสินใจเลือกใช้ได้ง่ายขึ้น  …เรื่อง Android กับ iOS อาจยังไม่มีบทสรุปหรือเดาอนาคตไม่ได้ ยังต้องดูกันอีกหลายปี
ไอโฟนเริ่มมีวางจำหน่ายครั้งแรกเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2550 โดยร่วมมือกับเครือข่ายเอทีแอนด์ทีไวร์เลสส์ (ในขณะนั้นในชื่อ ซิงกิวลาร์ไวร์เลสส์) โดยก่อนวันจำหน่ายร้านแอปเปิลได้ปิดร้านในช่วง 14 นาฬิกาเพื่อเตรียมตัวขายไอโฟนในเวลา 18 นาฬิกาตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งมีผู้ใช้รอคิวเข้าซื้อเป็นจำนวนมาก[3] โดยทางแอปเปิลขายไอโฟนได้ 270,000 เครื่อง ในช่วง 30 ชั่วโมงแรกที่เปิดจำหน่าย[4] โดยในปัจจุบันไอโฟนรุ่นแรกมีวางจำหน่ายในหกประเทศได้แก่ ไอร์แลนด์สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี ออสเตรีย และสหรัฐอเมริกา
โดยในวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 ไอโฟนรุ่นใหม่ หรือที่รู้จักในชื่อ ไอโฟน 3G จะมีการวางจำหน่ายใน 22 ประเทศ ซึ่งรวมถึง 6 ประเทศที่มีวางจำหน่ายแล้ว และหลังจากนั้นจะมีวางจำหน่ายเพิ่มขึ้นอีกใน 48 ประเทศทั่วโลก รวมเป็นทั้งหมด 70 ประเทศ โดยในอาเชียนจะมีประเทศสิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ที่มีการจำหน่ายไอโฟนอย่างเป็นทางการ[5] โดยในสหรัฐอเมริกานั้น ผู้ซื้อไอโฟนรุ่นใหม่จำเป็นต้องจดสัญญากับเอทีแอนด์ทีเป็นระยะเวลาสองปี
ประเทศไทยเริ่มมีการวางจำหน่ายไอโฟน 3G ในวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2552 โดยทรูมูฟ เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์การจำหน่ายเป็นรายแรกในประเทศไทย และมีงานเปิดตัวระหว่างวันที่ 16-18 มกราคม พ.ศ. 2552 ณ รอยัลพารากอนฮอลล์ สยามพารากอน[1]และดีแทคเป็นรายที่สองที่ได้สิทธิ์การจัดจำหน่าย โดยมีการเปิดตัวพร้อมจำหน่ายเครื่องวันแรก เมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2553 ณ ลานพาร์กพารากอน สยามพารากอน
และในวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553 เวลา 0.00 น. ไอโฟน 4 ได้เปิดตัวในประเทศไทย โดยทรูมูฟ , ดีแทค และ AIS เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์การจำหน่ายในประเทศไทย


เปรียบเทียบรุ่น

รุ่นไอโฟนไอโฟน 3Gไอโฟน 3GSไอโฟน 4
ระบบปฏิบัติการเบื้องต้นiPhone OS 1.0iPhone OS 2.0iPhone OS 3.0iOS 4.0
จอภาพ3.5 in (89 mm), 3:2 aspect ratio, scratch-resistant[6] glossy glass covered screen, 262,144-color LCD, 480 × 320 px (HVGA) at 163 ppiIn addition to previous, features a fingerprint-resistant oleophobiccoating[7]3.5 in (89 mm), 3:2 aspect ratio,aluminosilicate glass covered IPSLCD screen, 960 × 640 px at 326ppi, 800:1 contrast ratio
ความจุ4, 8 และ 16 GB8 และ 16 GB8, 16 และ 32 GB16 และ 32 GB
หน่วยประมวลผลกลาง620 MHz (underclocked to 412 MHz) Samsung 32-bit RISC ARM1176JZ (F) -S v1.0[8][9]833 MHz (underclocked to 600 MHz) ARM Cortex-A8[10][11]
Samsung S5PC100[10][12]
~800 MHz[13] ARM Cortex-A8Apple A4[14]
กราฟิกPowerVR MBX Lite 3D GPU[15]PowerVR SGX535 GPU[10]
ความจำ128 MB DRAM[16]256 MB DRAM[10][11]512 MB DRAM[17]
เทคโนโลยีขั้นสูงWi-Fi (802.11b/g),
USB 2.0/Dock connector,
Quad band GSM/GPRS/EDGE(850, 900, 1800, 1900 MHz)
Bluetooth 2.0 + EDR CambridgeBluecore4[18]
In addition to previous:
Assisted GPS,
Tri-band UMTS/HSDPA (850, 1900, 2100 MHz[19],
Includes earphones with mic
In addition to previous:
7.2 Mbit/s HSDPA,
Voice Control, Digital compass,Nike+,
Bluetooth 2.1 + EDR Broadcom4325[20],
Includes earphones with remote and mic
In addition to previous:
Penta-band UMTS/HSDPA (800, 850, 900, 1900, 2100 MHz)[21][22],
5.76 Mbit/s HSUPA,
Wi-Fi (802.11n: 2.4 GHz only),
3-axis gyroscope,
Dual-mic noise suppression,
microSIM
กล้อง2.0 MP with geotagging3 ล้านพิกเซล Autofocus focus ที่ปลายนิ้วแตะ5 ล้านพิกเซล LED แฟลช เซนเซอร์วัดการส่องสว่างด้านหลัง Autofocus focus ที่ปลายนิ้วแตะ กล้องด้านหน้า ความละเอียดขนาด VGA
Audio codecWolfson MicroelectronicsWM8758BG[23]Wolfson Microelectronics WM6180C[24]Cirrus Logic CS42L61[25][26]
วัสดุอะลูมิเนียม แก้ว และพลาสติกแก้วและพลาสติก; ดำ ขาว (สีขาวไม่มีในรุ่น 8 GB)Aluminosilicate แก้ว และสแตนเลส; ดำ ขาว
พลังงานBuilt-in non removable rechargeable ลิเธียมไอออนโพลิเมอร์แบตเตอรี[27][28][29]
3.7 V 1400 mA·h[ต้องการอ้างอิง]3.7 V 1150 mA·h[28]3.7 V 1219 mA·h[30]3.7 V 1420 mA·h[31]
แบตเตอรี (ชม.)ฟังเพลง: 24
ดูวิดีโอ: 7
ใช้คุยโทรศัพท์ 2G: 8
ใช้อินเตอร์เน็ท: 6
เปิดเครื่องรอรับสาย: 250
ฟังเพลง: 24
ดูวิดีโอ: 7
ใช้คุยโทรศัพท์ 3G: 5
ใช้อินเตอร์เน็ท 3G: 5
ใช้อินเตอร์เน็ท Wi-Fi: 9
เปิดเครื่องรอรับสาย: 300
ฟังเพลง: 30
ดูวิดีโอ: 10
ใช้คุยโทรศัพท์ 3G: 5
ใช้อินเตอร์เน็ท 3G: 5
ใช้อินเตอร์เน็ท Wi-Fi: 9
เปิดเครื่องรอรับสาย: 300
ฟังเพลง: 40
ดูวิดีโอ: 10
ใช้คุยโทรศัพท์ 3G: 7
ใช้อินเตอร์เน็ท 3G: 6
ใช้อินเตอร์เน็ท Wi-Fi: 10
เปิดเครื่องรอรับสาย: 300[32]
Dimensions115 × 61 × 11.6 มม. (4.5 × 2.4 × 0.46 in)115.5 × 62.1 × 12.3 มม. (4.5 × 2.4 × 0.48 in)115.2 × 58.6 × 9.3  มม. (4.5 × 2.31 × 0.37 in)
น้ำหนัก135 กรัม (4.8 oz)133 g (4.7 oz)135 g (4.8 oz)137 g (4.8 oz)
เริ่มต้นการผลิต (สหรัฐฯ)4 และ 8 GB: 29 มิถุนายน 2550
16 GB:5 กุมภาพันธ์ 2551
11 กรกฎาคม 255116 and 32 GB: 19 มิถุนายน 2552
Black 8 GB: 24 มิถุนายน 2553
24 มิถุนายน 2553
สิ้นสุดการผลิต (สหรัฐฯ)4 GB: 5 กันยายน 2550
8 และ 16 GB: 11 กรกฎาคม 2551
16 GB: 8 มิถุนายน 2552
Black 8 GB: June 4, 2553
16 และ 32 GB: 24 มิถุนายน 2553
Black 8 GB: อยู่ระหว่างการผลิต
อยู่ระหว่างการผลิต

ไอโฟน 4 (iPhone 4) คือสมาร์ตโฟนระบบจอสัมผัสที่พัฒนาโดย บริษัทแอปเปิล ซึ่งเป็นรุ่นที่สี่ของ ไอโฟน ต่อมาจากรุ่น ไอโฟน 3GS ถูกออกแบบเฉพาะสำหรับการใช้งานด้านการโทรศัพท์โดยมีสัญญาณภาพ (ในชื่อ เฟซไทม์) การอ่านหนังสืออีบุค, การดูวิดิโอ, ฟังเพลง, เล่นเกม และอินเทอร์เน็ต ถูกประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ในงาน WWDDC 2010 และขายครั้งแรกวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ในอเมริกา,อังกฤษ และอีกในหลายประเทศ โดยในประเทศไทยนั้นมีการขายครั้งแรกอย่างเป็นทางการใน วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553 โดยสามบริษัทใหญ่เป็นผู้จำหน่ายคือ เอไอเอส ,ดีแทค และทรูมูฟ
ไอโฟน 4 ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) ซึ่งเป็นระบบเดียวกับที่ใช้ในไอโฟนรุ่นก่อนหน้า รวมไปถึงไอแพดและไอพอดทัช การทำงานหลักควบคุมโดยใช้ปลายนิ้วสัมผัส
ข้อแตกต่างระหว่างไอโฟน 4 และไอโฟนรุ่นก่อนหน้าได้แก่ การออกแบบโฉมใหม่ ที่มีการหุ้มขอบด้วยสเตนเลนสตีลไร้ฉนวนซึ่งทำหน้าที่เป็นเสาอากาศของเครื่อง ตัวเครื่องจะอยู่กึ่งกลางระว่างกระจกอลูมิโนซิลิเกตชนิดพิเศษที่เพิ่มความแข็งแรงวางไว้สองด้านหน้าหลัง ภายในเครื่องมีซีพียู แอปเปิล A4 พร้อม ram 512 MB ของ eDRAM ซึ่งมีความเร็วเป็นสองเท่าของรุ่นก่อนหน้า และเร็วเป็นสี่เท่าของไอโฟนรุ่นแรกสุด หน้าจอขอไอโฟน 4 มีขนาด 89 มม. (3.5 นิ้ว) โดยใช้แอลอีดีแบล็กลิตขนาด แสดงผลด้วยความละเอียด 960×640 พิกเซลซึ่งโฆษณาในชื่อว่า "เรตินาดิสเพลย์" (Retina Display)
ระบบปฏิบัติการรุ่นล่าสุดคือ iOS 4.3.3

[]



ความแตกต่างของ iPhone
ความสำเร็จอย่างนึงของ iPhone คือการที่ Apple สามารถสร้างชื่อ iPhone ให้เป็น iPhone ได้อย่างชัดเจน เหมือนกับที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วกับ iPod มีหลายปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ รวมไปถึงเทคโนโลยีที่นำมาใช้ ว่าแล้วก็มาดูกันไปแต่ละหัวข้อกันเลยดีกว่าครับ

การออกแบบผลิตภัณฑ์
รูปทรงของ iPhone นั้นมีการออกแบบ ตามแบบแนวการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของ Apple ซึ่งคงไว้ซึ่งความสวยงาม ตามแนวคิดแบบ Minimalism เรียบง่ายแต่ดูดี เหมือนกับ iPod , iMac , MacBook รวมไปถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆของ Apple อย่างไรก็ตามเรื่องรูปร่างหน้าตาเป็นเรื่องของความชอบ เป็นเรื่องของรสนิยม อาจจะมีบางท่านที่ไม่ชอบแบบนี้ อันนั้นว่ากันไม่ได้ครับ เป็นเรื่องปัจเจกจริงๆ อย่างไรก็ตามการออกแบบของ iPhone เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าทำออกมาได้สวยงามดูดี ไม่เพียงแต่สวยงามเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ในเรื่องของความแข็งแรงของวัสดุ และคุณภาพการผลิต ก็ยังทำออกมาได้ดีมากอีกด้วย ก่อนหน้านี้เราแทบจะไม่ค่อยเห็นแนวการออกแบบอย่างนี้ในมือถือเลย จนกระทั่ง iPhone ออกมา แนวทางการออกแบบผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมนี้ก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นทิศทางนี้กันมากขึ้น
การออกแบบ User Interface
UI ของ iPhone มีการออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่าย เหมาะกับการใช้งานกับอุปกรณ์ที่มีพื้นที่แสดงผลจำกัด และมีความแตกต่างจากการ UI ของยี่ห้ออื่นที่มีก่อนหน้านั้น Apple กล้าที่จะตัดการมีปุ่มต่างๆบนตัวเครื่องจำนวนมากอย่างที่เคยมีในโทรศัพท์รุ่นอื่นๆก่อนหน้านั้น แล้วทำให้ทุกอย่างเป็น Virtual Button แสดงผลบนหน้าจอ และใช้ระบบสัมผัสแบบ Multi-touch ที่มีความโดดเด่นแทนที่ สิ่งนึงที่ผมชอบมากใน iPhone ก็คือมันไม่ได้พยายามที่จะนำเอารูปแบบ UI การใช้งานบนคอมพิวเตอร์ มาใช้กับอุปกรณ์ที่มีขนาดเล็ก ไม่ว่าจะเป็น Menu Bar , Context Menu เรียกได้ว่า UI Control ทั้งหลายใน iPhone นั้นถูกออกแบบมาเพื่อให้นำมาใช้กับการใช้งานกับอุปกรณ์ขนาดเล็กแบบนี้จริงๆ
เทคโนโลยี Multi-touch
เป็นจุดเด่นและเป็นจุดขายที่ทำให้ iPhone ต่างจากคู่แข่ง แต่เดิมนั้นมีมือถือหลายรุ่นที่เป็นระบบหน้าจอแบบสัมผัส Touch Screen แต่ iPhone เป็นรุ่นแรกที่นำเอาระบบ Multi-touch ที่สามารถทำงานร่วมกับการสัมผัสมากกว่าหนึ่งจุดได้ ทำให้สามารถออกแบบ Gesture หรือการเคลื่อนไหวเพื่อสั่งงาน ที่แตกต่างจากที่เคยมีมาได้มากกว่ากันเยอะ แต่เดิมเราจะทำได้เพียงแต่กด และเลื่อนนิ้ว(หรือ Stylus)ไปมาเพียงเท่านั้น แต่เมื่อมีการนำระบบ Multi-touch มาใช้ ทำให้เราสามารถใช้สองนิ้วสัมผัส แล้วกางออก เพื่อขยายสิ่งที่อยู่ในหน้าจอ หรือหุบเข้าเพื่อย่อ หรือใช้สองนิ้วสัมผัสแล้วหมุน เพื่อสั่งให้หมุนสิ่งที่อยู่ในหน้าจอ เป็นต้น
และเมื่อนำ Multi-touch มาใช้งานร่วมกับระบบ Accelerometer ซึ่งจะคอยตรวจสอบแกนการใช้งาน การเคลื่อนไหวตัวเครื่อง ก็ทำให้ iPhone สามารถสร้างประสบการณ์ใหม่ในการใช้งานให้กับผู้ใช้ได้อย่างมีความแตกต่างจากมือถืออื่นๆ อย่างชัดเจน ปัจจุบันแม้ว่าจะมีมือถือหลายรุ่นที่พยายามจะชูจุดขายของความเป็นระบบสัมผัส แต่เท่าที่ได้ลองใช้งานมาก็ยังไม่มีรายไหนที่ทำได้อย่างที่ iPhone เป็นสักราย (ในอนาคตอาจจะมี แต่ตอนนี้ขอพิมพ์เฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ออกสู่ตลาดแล้วเท่านั้นนะครับ) ส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงแค่ระบบสัมผัสหน้าจอธรรมดา อันที่จริงเทคโนโลยี Multi-touch ไม่ใช่พึ่งมีนะครับ นับย้อนหลังไปก็มีการพัฒนากันมานานร่วม 30 ปีแล้ว ส่วนผลิตภัณฑ์ที่นำมาใช้งานจริงๆ ก็มีมาก่อนหน้านี้ แต่เป็นอุปกรณ์เฉพาะทาง และบริษัทนึงที่ผลิตอุปกรณ์ที่เป็น Multi-touch ก็คือ FingerWork ซึ่งภายหลัง Apple ก็ซื้อกิจการและนำมาพัฒนา iPhone รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ ให้มีการใช้งาน Multi-touch นี่แหละครับ เรียกว่าใช้คุ้มเลยทีเดียว ภาพนี้เป็นภาพเกมส์รถแข่งที่ใช้ระบบ Accelerometer ในการควบคุมการเลี้ยวรถนะครับ
ความต่างอย่างนึงที่ทำให้ระบบสัมผัสของ iPhone ได้รับเสียงตอบรับค่อนข้างดีจากผู้ใช้งานก็คือการที่มันใช้เทคนิคการตรวจสอบการสัมผัสแบบ Capacitive sensor ซึ่งทำได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับอีกหลายยี่ห้อที่ใช้แบบ Resistive sensor แม้ว่าจะมีข้อจำกัดตรงที่ต้องใช้นิ้วสัมผัสโดยตรง ไม่สามารถใช้ Stylus ได้ แต่ในทางกลับกันการใช้นิ้วสัมผัสของ iPhone กลับทำได้ดีกว่าการใช้ Stylus เสียอีก (อันนี้ส่วนนึงคงแล้วแต่ความถนัดของแต่ละบุคคลด้วย แต่ส่วนใหญ่ที่สอบถามมาก็บอกว่าดีกว่ากันทั้งนั้น) ในบ้านเราไม่ใช่เมืองหนาวที่ต้องใส่ถุงมืออยู่แล้วด้วย ข้อนี้จึงไม่น่าจะเป็นปัญหา ในทางเทคนิคแล้วนั้นการใช้ Capacitive sensor ทำให้ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากต้องใช้ทั้งหน่วยประมวลผลเพื่อใช้ร่วมกับการตรวจสอบ ต้องใช้แหล่งพลังงานเพิ่มเติมอีกด้วย และยังมีราคาสูงกว่าแบบ Resistive sensor แต่ Apple เลือกที่จะใช้แบบ Capacitive แทนที่จะใช้แบบ Resistive เพื่อให้เกิดประสบการณ์ในการใช้งานที่ดีกว่า มีการตอบสนองต่อการสัมผัสได้ดี ทำให้ผู้ใช้ได้ใช้ระบบ “สัมผัส” จริงๆ ไม่ใช่ระบบสัมผัสที่ต้องออกแรง “กด”
ระบบปฎิบัติการ OS X iPhone
อีกสิ่งนึงที่ทำให้ iPhone ต่างจากมือถืออื่นๆ ก็คือระบบปฎิบัติการ สำหรับ iPhone นั้นใช้ระบบปฎิบัติการ OS X ใช้แกนของระบบแบบเดียวกับที่ใช้ใน Mac OS X แต่มีการปรับแต่งเพื่อนำมาใช้ใน iPhone (และ iPod touch) เรียกว่า OS X iPhone ทำให้มีความเสถียรต่อการใช้งานที่ค่อนข้างมาก เพื่อนผมหลายคนใช้ iPhone (แบบหิ้ว) มาตั้งแต่เปิดตัวใหม่ๆ จนทุกวันนี้ยังไม่เคยเจอปัญหาเครื่อง Crash ไปเองเพราะตัวระบบเลย มี 3rd Party Application บางตัวที่ใช้งานแล้วเด้งออกมาหน้าจอบ้าง แต่ก็พบน้อยมาก เมื่อเทียบกับประสบการณ์ที่พบจากระบบอื่นที่เคยใช้กันมาก่อนหน้านี้ สำหรับผมเองและคนรอบๆตัว เรียกได้เลยว่าไม่เจอปัญหาจากตัวระบบปฎิบัติการเลยตลอดการใช้งานกันมา อย่างไรก็ตามถามว่ามันสมบูรณ์หรือยัง ก็ยังไม่สมบูรณ์หรอกครับ ยังมีหลายจุดที่น่าจะได้รับการปรับปรุง เช่นยังขาดการ Cut and Paste ข้อความ โชคดีที่หลายจุดเป็นจุดที่ Apple รับฟังและนำไปปรับปรุง ปัจจุบัน iPhone OS นั้นอยู่ที่รุ่น 2.2.1 จากข่าวคราวที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Apple ได้เปิดตัว iPhone OS รุ่น 3.0 ซึ่งจะพร้อมให้ใช้งานได้ในช่วงกลางปีที่จะถึงนี้ ตัวนั้นจะได้รับการปรับปรุงในหลายเรื่องที่เราๆท่านๆเคยบ่นกันมาก่อน แน่นอนรวมถึงความสามารถในการพิมพ์ภาษาไทยก็จะมีใน iPhone OS รุ่น 3.0 ด้วยเช่นกัน (รุ่นปัจจุบันอ่านได้อย่างเดียว ถ้าไม่ Hack เอา)
อย่างไรก็ตามแม้ว่าระบบปฎิบัติการใน iPhone จะเป็น OS X ซึ่งโดยพื้นฐานก็อย่างที่รู้กันว่า ทำงาน Multi-tasking ได้อยู่แล้ว แต่ Apple ไม่เปิดให้โปรแกรม 3rd Party ทำงานแบบ Background โดยที่ Apple มองว่าการเปิดให้โปรแกรมทำงานค้างไว้ใน Background จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของระบบลดลง อีกทั้งยังทำให้เปลืองแบตเตอรี่ อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ใช้ iPhone ส่วนใหญ่แล้ว ไม่ค่อยประสบปัญหากับเรื่องดังกล่าวนัก จะว่าไปในตอนแรกที่เปิดตัว iPhone เอง เขายังไม่ยอมให้มี Native Application เสียด้วยซ้ำ ;-)
Mobile Safari

ถือเป็นจุดขายนึงของ iPhone ที่ได้รับคำชมจากหลายสำนัก เป็น Web Browser สำหรับมือถือที่ใช้งานง่ายและแสดงผลได้ดีมาก ทำให้การดูเว็บจาก iPhone ให้ประสบการณ์ที่ใกล้เคียงจากการเข้าดูด้วยเครื่อง PC เลยทีเดียว ก่อนหน้านี้ก็มี Browser หลายตัวที่ทำงานได้ดีเช่น Opera Mini แต่ Mobile Safari ค่อนข้างทำได้ดีกว่า การรองรับ HTML , CSS , Javascript , AJAX ทำได้ดีมาก ขาดก็แต่การรองรับ Flash เท่านั้น อย่างไรก็ตามการทำงานของ Flash ในมือถือรุ่นอื่น ที่เป็นพวก Flash Lite เอาเข้าจริงแล้วก็ยังไม่ถือว่าอยู่ในขั้นที่นำมาใช้งานได้จริงจังเท่าไรนัก ในอนาคตหากจะมีคู่แข่งที่สูสีกันสักหน่อย ก็น่าจะเป็นมือถือที่ใช้ระบบ Android ของ Google ที่ใช้ WebKit ซึ่งเป็น engine เดียวกับ Mobile Safari ใช้ ทุกวันนี้สถิติการใช้งานเว็บผ่านอุปกรณ์มือถือจากสำนักต่างๆ พบว่า iPhone นำคู่แข่งลิ่ว ไม่ใช่เพราะว่า iPhone มียอดขายเยอะเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะว่าตัว Mobile Safari เมื่อใช้งานแล้วมันใช้งานได้ค่อนข้าง “จริง” กว่า Mobile Browser ตัวอื่นที่เอาเข้าจริงๆแล้ว ก็เป็นเพียงแค่ฟีเจอร์ที่มีไว้ให้รู้ว่ามีแค่นั้นเอง


iPhone คืออะไร??
โทรศัพท์ครับ
ทำอะไรได้บ้างเหรอเห็นคนฮิตกันจัง??
มันก็คือโทรศัพท์นะครับไม่ได้เลิศเลออลังการอย่างที่วาดภาพไว้ แต่สำหรับผมมัน โดน!!
แล้วทำอะไรไม่ได้บ้าง??
อืมถามได้ดี อยากจะบอกเผื่อไว้สำหรับคนที่ต้องการจะซื้อนะครับ ข้อเสียหลักๆของมันคือ
ถ่ายวีดีโอไม่ได้ มีโปรแกรมเสริมแต่ยังไม่ดีพอ
รับ/ส่งไฟล์ผ่าน Bluetooth ไม่ได้ , Bluetooth ใช้ได้กับหูฟังเท่านั้น
รับ/ส่ง MMS ไม่ได้ แต่ตอนนี้ลงโปรแกรมเสริมเพื่อช่วยให้ส่งและรับ MMS ได้แล้ว ชื่อโปรแกรม SwirlyMMS
ดูภาพเคลื่อนไหวไม่ได้ .gif
ข้อเสียหยิบย่อยบอกไปอาจจะไม่หมด แต่พอจะลงโปรแกรมเสริมให้มันทำงานได้สมบูรณ์ขึ้น
ในตอนนี้โปรแกรมที่ทำกันยังทำกันแบบผิดกฎหมายแต่ตอนนี้มี SDK ออกมาแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานโปรแกรมเสริมเพียบแน่นอนครับ
อ้าวแบบนี้ก็สู้ PDA หรือ PPC ไม่ได้อะดิ??
ถามทำไม??
เบื่อจริงคำถามนี้ ขอตบหัวที เพียะ!! มานี้ๆจะนิยามให้ฟัง
- "iPhone is the best iPod we've ever created" เคยได้ยินมั๊ย
ช่วยแปลให้ฟังหน่อยซิ
เข้าใจมั๊ยว่า iPhone คือ iPod ที่โทรศัพท์ได้ ไม่ใช่ PDA ที่ใช้เป็น iPod ได้
จะเอาไปเปรียบเทียบมันทำไมมันผลิตมาคนละจุดประสงค์
ถ้าถามว่าซื้อรถยนต์ทำไม ทำไมไม่ซื้อรถแทรกเตอร์จะได้เอาไว้ไถนาได้ด้วย ก็ตอบได้เลยว่าเพราะผมใช้รถแค่เอาไว้ขับ ผมไม่ได้จะเอารถไปไถนา เพราะฉะนั้นอย่ามาเปรียบเทียบ iPhone กับ PDA ให้ได้ยินอีก
แต่ถ้าผมมีตังเยอะๆก็อยากมีทั้ง อย่างนะ (หมายถึง iPhone กับ PDA นะ ไม่ใช่ รถยนต์ กับ รถแทรกเตอร์)
แล้วถ้าผมจะซื้อตอนนี้ผมต้องทำยังไงบ้าง??
ตอนนี้ไม่มีผลิตใหม่ออกมาแล้วนะ
ถ้าจะซื้อตนนี้คงต้องหาซื้อจากในเนต หรือ MBK แล้วล่ะ ส่วนราคาที่ได้ยินมารู้สึก
- 8GB จะประมาณ 18,000 - 19,000 แล้วนะ
- 16GB ก็ประมาณ 24,000 แล้ว แพงได้ใจมกาเลย > > General >> Keyboard นะครับ
ตรง Russia ต้องเป็น o­n
ตรง "คียร์บอร์ดรัสเซีย" เป็น Off ครับ
เครื่องค้างทำอะไรไม่ได้เลย
กดปุ่ม Home กับ ปุ่ม Power ค้างไว้จนกว่าหน้าจอจะเป็นรูป iTunes + สาย Syncครับ กดค้างไว้ตลอดเลยนะอย่าเพิ่งปล่อยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
จากนั้นก็แนะนให้ Restore ครับ
การ Restore iPhone
การ Restore จะใช้ในกรณีที่ไม่มีหนทางจะแก้ไขปัญหาแล้วนะครับ
จริงๆเวลา iPhone มีปัญหา การ Restore เป็นวิธีที่ผมแนะนำที่สุดนะครับ เพราะเหมือนเป็นการล้างเครื่องเลย
แต่ทั้งนี้ก็แล้วแต่ความสมัครใจครับ
 ดังที่คาดการณ์กันไว้ แอปเปิ้ลได้ประกาศเปิดตัว iPhone รุ่นที่สามแล้ว โดยใช้ชื่อ iPhone 3G S ซึ่งตัว S ย่อมาจากคำว่า Speed เมื่อวานนี้ในงาน WWDC 2009 ซึ่งไอโฟนรุ่นใหม่จะมีการอัพเดตคุณสมบัติการำทงานจาก iPhone 3G มากมาย ดังต่อไปนี้
  • เร็วขึ้นเป็น 2 เท่า เพื่อให้ล้อไปกับชื่อรุ่นที่ตั้งไว้ iPhone 3G S ดังนั้น ไอโฟนรุ่นนี่้จะเร็วขึ้นกว่าเดิม โดยแอปเปิ้ลอ้างว่า ผู้ใช้สามารถโหลดเว็บเพจ และรันแอพฯ ได้เร็วกว่า iPhone 3G ถึง 2 เท่า ซึ่งรวมถึงประสิทธิภาพทางด้านกราฟิก 3 มิติสำหรับเล่นเกมส์ต่างๆ ด้วย
  • กล้องดิจิตอล 3 ล้านพร้อมออโต้โฟกัส ผู้ใช้สามารถโฟกัสตำแหน่งของคน หรือสิ่งของที่ต้องการถ่ายได้ด้วยการแตะ(tapping)บนหน้าจอ พร้อมทั้งการตั้งค่าสมดุลย์แสงสีขาว (white balance) ปริมาณการรับแสง (Eposure) ความไวแสง และโหมดมาโคร สำหรับการถ่ายภาพใกล้วัตถุ
  • ฟังก์ชันกล้องบันทึกวิดีโอ (camcorder) ผู้ใช้สามารถเลือกถ่ายวิดีโอที่คุณภาพ VGA ที่ความเร็ว 30 เฟรม/วินาที และหลังจากถ่ายเสร็จยังสามารถตัดแต่ง (trim) คลิปที่เริ่มต้น หรือตอนท้ายของคลิปที่ได้ถ่ายทันที นอกจากนี้ยังสามารถส่งวิดีโอผ่าน MMS (ฟังก์ชันนี้มีอยู่ใน iPhone OS 3.0) ไปยังเพื่อนๆ หรือเข้าไปเก็บในบัญชีผู้ใช้ MobileMe หรือขึ้นไป YouTube จากไอโฟนโดยตรงได้อีกด้วย
  • ระบบควบคุมด้วยเสียง (voice control) สำหรับฟังก์ชันนี้ไม่ได้ใช้แค่การเรียกสายโทรออก หรือช่วยให้คุณสามารถจัดการโทรศัพท์ด้วยคำสั่งที่เป็นเสียงเท่านั้น แต่ผู้ใช้ยังสามารถใช้เสียงสั่งให้ iPhone 3G S เล่นเพลง หรือแม้แต่ถามไอโฟนว่า เพลงที่กำลังเล่นอยู่นั้น เพลงอะไร ตลอดจนสั่งให้มันเล่นเพลงที่ต้องการฟังด้วยชื่อศิลปิน และอัลบั้ม หรือแม้แต่ให้เล่นเพลงที่ท่วงทำนองอารมณ์เพลงคล้ายกับเพลงที่เล่นในขณะนั้น ได้อีกด้วย
  • เข็มทิศอิเล็กทรอนิกส์ iPhone 3G S จะมาพร้อมกับเข็มทิศอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ภายในเครื่อง ทำให้มันสามารถเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลแผนที่บนหน้าจอให้สอดคล้องกับเส้นทาง ที่อยู่ข้างหน้าเจ้าของเครื่องได้โดยอัตโนมัติ โดยมันสามารถเชื่อมโยงการทำงานกับแผนที่ เพื่อให้คุณมองเห็นมุมมองบนถนนด้วย(street view)ได้อีกต่างหาก
  • บลูทูธ-โมเด็ม ผู้ใช้สามารถใช้ iPhone 3G S เป็นโมเด็มไร้สาย เพื่อทำงานร่วมกับแลปทอปได้
  • Nike+ iPod สำหรับ iPhone 3G S จะยังคงสามารถตรวจจับเซ็นเซอร์ของ Nike+ ที่อยู่ในรองเท้าของคุณขณะวิ่งได้
  • แบตเตอรีที่ยาวนานขึ้น แอปเปิ้ลให้สัญญากับผู้ใช้ว่า iPhone 3G S สามารถใช้งานได้นานถึง 9 ชั่วโมงสำหรับการเล่น Wi-Fi และ 10 ชั่วโมงสำหรับการเล่นวิดีโอ หรือ 30 ชั่วโมงสำหรับการเล่นออดิโอ ส่วนกรณีที่เชื่อมต่อกับเครือข่าย 2G จะเล่นได้นาน 12 ชั่วโมง แต่ถ้าเป็น 3G ก็จะได้ 5 ชั่วโมง
  • ความจุมากขึ้นในราคาน่าสอย สำหรับ iPhone 3G S รุ่น 16GB จะมีราคาอยู่ที่ 199 เหรียญฯ (ประมาณ 7,200 บาท) พร้อมด้วยเงื่อนไขใหม่ของโอเปอเรเตอร์ และ 32GB จะมีราคา 299 เหรียญฯ (ประมาณ 11,000 บาท)พร้อมเงื่อนไขข้อตกลงใหม่เช่นเดียวกัน ทั้งสองรุ่นจะวางตลาดในสหรัฐ 19 มิถุนายน 2009
และทั้งหมดคือ คุณสมบัติการทำงานเพิ่มเติมใน iPhone 3G S ที่น่าสนใจ ซึ่งรวมถึงฟังก์ชันของ iPhone OS 3.0 ที่หลายคนต้องการอย่างเช่น Copy & Paste, การบันทึกเสียง และสเตอริโอไร้สายด้วยบลูทูธ สำหรับเจ้าของ iPhone รุ่นเก่าจะสามารถอัพเดต iPhone 3.0 ได้ฟรี 



แอปเปิลไม่มีแผนที่จะขาย iPhone 5 ในปีนี้ ?


มีกระแสข่าวลือจาก The Loops รายงานว่าแอปเปิลจะไม่ทำการเปิดตัวสินค้าประเภทฮาร์ดแวร์ใด ๆ ในงาน WWDC ในปีนี้ ซึ่งนั่นหมายความว่าจะไม่มีไอโฟนรุ่นใหม่ ไอแพ็ด หรือแม้กระทั่งแมครุ่นใหม่ให้เห็นเลย โดยหากเป็นจริงแล้วก็แปลว่าปีนี้แอปเปิลเลือกที่จะไม่เดินตามแผนการปล่อย สินค้าออกมาเหมือนปีก่อน ๆ แล้ว
โดยปกติ แอปเปิลจะเปิดตัวสินค้าประเภทไอพ็อดในช่วงเดือนกันยายน เปิดตัวไอโฟนกลางปีในเดือนมิถุนายน ไอแพ็ดช่วงเดือนมีนาคม และจะประกาศการอัพเกรดครั้งใหญ่ให้กับคอมพิวเตอร์แมคอินทอชในช่วงเดือน ตุลาคม แต่ในปีนี้หากดูจาก Press Release เกี่ยวกับงาน WWDC จะเห็นชัดเลยว่าแอปเปิลจะเน้นเรื่องซอฟต์แวร์อย่างเดียว
สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมเกี่ยวกับการวางขายสินค้าของแอปเปิลในปีนี้ก็คือการ เปิดตัว iPhone 4 รุ่น CDMA บนเครือข่าย Verizon ที่ออกวางขายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้ และแอปเปิลเองก็ยังมีแผนที่จะวางขาย iPhone 4 สีขาวในเดือนเมษายนอีกด้วย ทำให้ความเป็นไปได้ที่จะวางขาย iPhone รุ่นต่อไปในเดือนมิถุนายนแทบจะไม่มีอีกเลย
เว็บ Macotakara.jp เองซึ่งเป็นเว็บที่มีแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือพอสมควรยังได้ออกมาอ้างว่า iPhone 5 ยังเข้าสู่กระบวนการผลิตอย่างเต็มที่ โดยคาดว่ากระบวนการผลิตจริงจะเริ่มขึ้นปลายปี 2011 นี้และพร้อมที่จะวางขายในช่วงต้นปีหน้า
เป็นไปได้ว่าปีนี้อาจจะไม่ใช่ปีของ iPhone 5 แต่เป็นปีของ iPad 2 อย่างเดียวเสียแล้ว

ข้อเสีย iphone 4

 -  พอดีช่วงนี้คงไม่มีกระเเสไหน เเรงเท่ามือถือ รุ่นใหม่ที่ชื้อว่า iphone 4 เพราะความสามารถเครื่องเเละราคาเครื่องบริษัทอย่าง dtac advanc นำเข้ามานี่ดีไม่ดีจะถูกกว่าเครื่องหิ้วอีกนะครับ ดังนั้นมันเลยทำให้ เกิดกระเเสความต้องการขึ้นมาครับ สำหรับ iphone 4 มาส่วนข้อดีหลายๆ คนคงรู้มาบ้างเเล้ว เเต่คราวนี้จะพูดถึงขอเสีย ของโทรศัพท์มือถือยอดนิยมเครื่องนี้กัน




-   Iphone 4 บกพร่องจนได้
ก่อนหน้านี้เป็นข่าวฮือฮากันอยู่พักใหญ่ ใครๆก็อยากได้ Iphone 4 จนยอดการจองสูงลิบลิ่ว แต่เมื่อสินค้าออกวางตลาดจริงๆแล้ว กลับเกิดข้อบกพร่องในเรื่องของสัญญาณ
คอนซูเมอร์ รีพอร์ต นิตยสารที่เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบและจัดอันดับสินค้า ประกาศ ” ไม่รับรอง Iphone 4″ หลังพบข้อบกพร่อง
จุดบกพร่องที่กล่าวถึงนั้น จะเกิดขึ้นเมื่อมือของผู้ใช้ Iphone ไปโดนบริเวณมุมด้านล่าง ซึ่งเป็นจุุดรับสัญญาณ โดยเมื่อลองเอามือไปโดน ก็จะสังเกตุเห็นได้ชัดว่า ขีดรับสัญญาณจะลดลงทีละขีด จนไม่สามรถใช้สนทนาได้
เบื้องต้น Apple มีรายงานออกมาว่า จะแจกเคสยางไว้หุ้ม เพื่่อแก้ปัญหาสัญญาณอ่อน แต่อย่างไรก็ดี ตอนนี้ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวที่เป็นรูปธรรมแต่อย่างใด ซึ่ง คอนซูเมอร์ รีพอร์ต แนะนำว่าใครที่ซื้อไปแล้ว วิธีที่จะแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเองคือ เอาเทปกาวมาติดบริเวณรับสัญญาณนั้นซะ อาจจะดูไม่สวยแต่อย่างน้อย สัญญาณก็ไม่หายนะจ๊ะ

ข้อเสียของ iPhone 4 ที่ยกมาจาก iPhone เดิมๆ ก็เพียบครับเช่น
- เพิ่ม MicroSD ไม่ได้ มีแค่ 16 / 32 GB ในตัว ซึ่ง ณ ชั่วโมงนี้ กับ HD Video Recorder เนี่ย ผมว่าน้อยไปแล้ว
- ถอด Battery ไม่ได้ และแม้ iPhone 4 จะประหยัดไฟกว่า iPhone 3GS, ผมก็ยังว่ามันกินไฟอยู่ดี
- ช่องเสียบสาย USB ไม่เหมือนค่ายอื่น ซึ่งตอนนี้ทุกค่ายในโลกใช้มาตรฐานเดียวกัน [Micro -USB] แล้ว
- Safari Browser รัน Flash ไม่ได้ และคาดว่าจะไม่ได้ตลอดกาล เพราะ Steve Jobs ไม่ชอบ – -*
- ไม่มีวิทยุ, สาวกบางคนบอกว่า “อะไร ซื้อมือถือเครื่องละ 25xxx มาฟังวิทยุเหรอ ?” นั่นสิครับ… ผมซื้อรถคันละเกือบล้าน ยังฟังวิทยุในรถเลย มันแปลกตรงไหน ;)
- การย้าย File / เพลงต้องทำผ่าน iTunes ถามว่าลำบากไหม ? ผมว่าลำบากครับ ตรงไปตรงมาเลยนะ
เพราะอย่าลืมว่าต้องทำบน Laptop เราเอง ถ้าจะไปทำบนเครื่องชาวบ้าน, กรุณาอย่าลืมสาย USB เฉพาะตัวไปด้วย เห็นความลำบากแบบ Combo รึยังละครับ ^^”
 นอกจากนี้ ยังมีปัญหาที่ผมว่าเป็นของใหม่ของ iPhone 4 เช่น
- กล้องปรับอะไรไม่ได้เลย อย่างที่บอกว่าผมไม่อยากมานั่งลงอะไรเพิ่มเองหรอก ผมว่าผมซื้อมาใช้ครับ ไม่ได้ซื้อมาเสียเวลาทำงานหรือเสียเวลาชีวิตส่วนตัว – -+
- ลำโพงยังคงเสียงแย่, เรียกว่าแย่มากในระดับ 25xxx บาท :’)
- จอยังเล็กแค่ 3.5 นิ้ว ถึงจอจะละเอียดมากจริง แต่ผมว่าชั่วโมงนี้ จอ 3.5 นิ้วเล็กไปสำหรับมือถือ 25xxx บาท
- FaceTime หรือ Video Calling ใช้ได้แค่บน Wi-Fi [ณ Firmware ที่จะเข้าไทย, อนาคตไม่รู้] ข้อนี้สาวก Apple บอกว่าเพราะเครือข่าย 3G มันไม่พร้อม ผมไม่คิดแบบนั้น ในเมื่อ Brand อื่นทำได้ ทำไมผมต้องเชื่อ Steve Jobs ละ ?
- มีความต่างจาก iPhone 3GS น้อยมากในส่วนของ Menu / Interface คือจะบอกว่า iOS ทำมาสวยและง่ายแล้ว ผมก็เห็นด้วยนะ แต่เพราะมันเหมือนเดิมมากๆ ผมก็เลยว่า iPhone 4 ไม่น่าสนเท่าไร สำหรับคนที่มี iPhone เดิม
 - แพงครับ… ชัดเจนสุดๆ อันนี้รอดูราคาศูนย์ไทยก่อนได้ หาก iPhone 4 ไทยตัว 16 GB ขายเท่าสิงคโปร์หรือฮ่องกงคือ 20xxx บาท ผมจะตัดข้อนี้ทิ้ง เพราะมันจะราคาเท่าๆ Samsung Galaxy S :P
 - เรื่องสัญญาณหลุด / เสาอากาศมีปัญหา ผมเขียนตามตรงว่าไม่เจอครับ แต่ iPhone 4 เครื่องศูนย์ไทยจะเป็นล็อตไหน



0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก